|
หัวข้อ “ คาดการณ์เศรษฐกิจปี 2556 ”
|
นักเศรษฐศาสตร์คาดเศรษฐกิจไทยปี 56 โต 4.6% การส่งออกจะขยายตัว 6.8% เงินเฟ้อจะอยู่ที่ 3.4%
อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะลดไปอยู่ที่ 2.50% ค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 30.68 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ
พร้อมชี้
เศรษฐกิจโลกยังเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับ 1
|
|
|
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจ
ความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 35 แห่ง จำนวน 73 คน เรื่อง
“คาดการณ์เศรษฐกิจปี 2556” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 6–13
พ.ย.
ที่ผ่านมา
พบว่า |
|
นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวร้อยละ
3.3
เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ 4.6 ราคาน้ำมันดิบ(WTI) จะอยู่ที่ 99.8 ดอลลาร์
สหรัฐต่อบาร์เรล อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ร้อยละ 3.4 |
|
ในส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายนักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 31.5 เชื่อว่า
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับปัจจุบันที่ร้อยละ
2.75 ไปสู่ระดับร้อยละ 2.50 ภายในสิ้นปี 2556 ส่วนค่าเงินบาทคาดว่าจะอยู่ที่ 30.68
บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และการส่งออกจะขยายตัวร้อยละ 6.8 ด้านการเคลื่อนไหวของ
ค่าเฉลี่ยของ SET Index นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 45.2 คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นจากปี
2555 และโดยจุดสูงสุดของปี 2556 จะอยู่ที่ 1,400 จุด |
|
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยปี 2556 คือ อันดับ 1 เศรษฐกิจโลกในภาพรวม
(ร้อยละ
79.5) อันดับ 2 หนี้สาธารณะของประเทศสหรัฐอเมริกา และ กลุ่มยูโรโซน (ร้อยละ
69.9) อันดับ 3 ปัญหาการเมือง/การ
ชุมนุมประท้วง/เสถียรภาพของรัฐบาล(ร้อยละ 64.4) |
|
สำหรับข้อเสนอต่อรัฐบาล/หน่วยงานด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ
ปี 2556 คือ
1. ลดการดำเนินนโยบายประชานิยม ลดการแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรโดยเฉพาะโครงการรับจำนำ
ข้าว ซึ่งจะช่วยลดปัญหาหนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต และช่วยให้มีความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายการคลังมากขึ้น
2. เน้นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในโครงการต่างๆ รวมถึงโครงการที่มีความเกี่ยวเนื่องกับ AEC มีการ
เบิกจ่ายเงินที่เป็นไปตาม พรก.บริหารจัดการน้ำ มีการพัฒนาการศึกษา สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถ
ในการแข่งขันให้กับประเทศ
3. มีการดำเนินนโยบายการเงินการคลังที่สอดประสานกัน โดยเห็นว่าควรดำเนินนโยบายการเงินที่
ผ่อนคลายและดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัว ควรมีมาตรการควบคุมฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงควรมีแผน
สำรองเพื่อรองรับวิกฤติ (shock) ที่อาจจะเกิดขึ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก |
|
(โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้) |
|
|
1. คาดการณ์ การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปี 2556 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2555
|
ร้อยละ |
จะขยายตัวร้อยละ 5.1-6.0 |
1.4 |
จะขยายตัวร้อยละ 4.1-5.0 |
1.4 |
จะขยายตัวร้อยละ 3.1-4.0 |
64.4 |
จะขยายตัวร้อยละ 2.1-3.0 |
30.2 |
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ |
2.6 |
ค่าเฉลี่ยของการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเท่ากับ ร้อยละ 3.3 |
|
|
2. คาดการณ์ การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2556 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2555
|
ร้อยละ |
จะขยายตัวร้อยละ 6.1-7.0 |
2.7 |
จะขยายตัวร้อยละ 5.1-6.0 |
13.7 |
จะขยายตัวร้อยละ 4.1-5.0 |
67.1 |
จะขยายตัวร้อยละ 3.1-4.0 |
11.0 |
จะขยายตัวร้อยละ 2.1-3.0 |
4.1 |
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ |
1.4 |
ค่าเฉลี่ยของการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยเท่ากับ ร้อยละ 4.6 |
|
|
3. คาดการณ์ ราคาน้ำมันดิบ WTI เฉลี่ยในปี 2556
|
ร้อยละ |
อยู่ในช่วง 121-130 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลโดยเฉลี่ย |
2.7 |
อยู่ในช่วง 111-120 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลโดยเฉลี่ย |
5.5 |
อยู่ในช่วง 101-110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลโดยเฉลี่ย |
35.6 |
อยู่ในช่วง 91-100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลโดยเฉลี่ย |
39.7 |
อยู่ในช่วง 81-90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลโดยเฉลี่ย |
11.0 |
อยู่ในช่วง 71-80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลโดยเฉลี่ย |
1.4 |
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ |
4.1 |
ค่าเฉลี่ยของราคาน้ำมันดิบ WTI เท่ากับ 99.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล |
|
|
4. คาดการณ์ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยปี 2556
|
ร้อยละ |
อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในช่วงร้อยละ 4.1-5.0 |
5.5 |
อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในช่วงร้อยละ 3.1-4.0 |
69.9 |
อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในช่วงร้อยละ 2.1-3.0 |
20.5 |
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ |
4.1 |
ค่าเฉลี่ยของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเท่ากับร้อยละ 3.4 |
|
|
5. คาดการณ์ อัตราดอกเบี้ยนโยบายปี 2556
|
ร้อยละ |
ธปท. จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับปัจจุบันที่ร้อยละ 2.75
ไปสู่ระดับร้อยละ 3.25 ภายในปี 2556 |
12.3 |
ธปท. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับปัจจุบันที่ร้อยละ 2.75
ตลอดปี 2556 |
26.0 |
ธปท. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับปัจจุบันที่ร้อยละ 2.75
ไปสู่ระดับร้อยละ 2.50 ภายในปี 2556 |
31.5 |
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ |
30.2 |
หมายเหตุ: อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่คาดการณ์เป็นค่ากลาง |
|
|
6. คาดการณ์ การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทโดยเฉลี่ย ในปี 2556
|
ร้อยละ |
ค่าเงินบาทจะอยู่ระหว่าง 32.1- 33.0 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ |
5.5 |
ค่าเงินบาทจะอยู่ระหว่าง 31.1- 32.0 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ |
21.9 |
ค่าเงินบาทจะอยู่ระหว่าง 30.1- 31.0 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ |
47.9 |
ค่าเงินบาทจะอยู่ระหว่าง 29.1- 30.0 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ |
15.1 |
ค่าเงินบาทจะอยู่ระหว่าง 28.1- 29.0 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ |
2.7 |
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ |
6.9 |
ค่าเฉลี่ยของค่าเงินบาท เท่ากับ 30.68 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ |
|
|
7. คาดการณ์ การขยายตัวของ การส่งออกของไทยในปี 2556 เมื่อเทียบกับปี 2555
(ในรูปของเงินบาท)
|
ร้อยละ |
ขยายตัวอยู่ระหว่างร้อยละ 16-20 |
2.7 |
ขยายตัวอยู่ระหว่างร้อยละ 11-15 |
9.6 |
ขยายตัวอยู่ระหว่างร้อยละ 6-10 |
43.8 |
ขยายตัวอยู่ระหว่างร้อยละ 1-5 |
35.6 |
ขยายตัวอยู่ร้อยละ 0 |
1.4 |
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ |
6.9 |
ค่าเฉลี่ยของการขยายตัวการส่งออกเท่ากับ ร้อยละ 6.8 |
|
|
8. คาดการณ์ ค่าเฉลี่ยของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ในปี 2556
|
ร้อยละ |
ค่าเฉลี่ยของ SET Index จะปรับเพิ่มขึ้นจากปี 2555 และคาดว่า
จุดสูงสุดของปี 2556 จะอยู่ที่ 1,400 จุด |
45.2 |
ค่าเฉลี่ยของ SET Index จะปรับลดลงจากปี 2555 และ คาดว่าจุดต่ำสุด
ของปี 2556 จะอยู่ที่ 1,050 จุด |
8.2 |
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ |
46.6 |
หมายเหตุ: SET Index ที่คาดการณ์เป็นค่ากลาง |
|
|
9. ปัจจัยใดจะส่งผลกระทบและฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยปี 2556 มากที่สุด (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
|
ร้อยละ |
อันดับ 1 เศรษฐกิจโลกในภาพรวม |
79.5 |
อันดับ 2 หนี้สาธารณะของประเทศสหรัฐอเมริกา กลุ่มยูโรโซน และญี่ปุ่น |
69.9 |
อันดับ 3 ปัญหาการเมือง/การชุมนุมประท้วง/เสถียรภาพของรัฐบาล |
64.4 |
อันดับ 4 ปัญหาภัยธรรมชาติ/ภัยพิบัติทางธรรมชาติ |
37.0 |
อันดับ 5 ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน |
32.9 |
อันดับ 6 การเปิดเสรีทางการค้า ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มการค้าอาเซียน ไทยจีน เป็นต้น |
19.2 |
อันดับ 7 ค่าเงินบาทที่คาดว่าจะแข็งค่าขึ้น |
17.8 |
อื่นๆ เช่นการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ ความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบในโครงการ
ของรัฐ การประมูล 3 จีที่อาจมีปัญหา การไม่มีเสถียรภาพและเอกภาพสำหรับ
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การหมดอายุของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใช้อยู่ |
8.2 |
|
|
|
10. ข้อเสนอต่อรัฐบาล/หน่วยงานเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจปี 2556
(เป็นคำถามปลายเปิดให้นักเศรษฐศาสตร์ระบุเอง)
|
อันดับ 1 ลดการดำเนินนโยบายประชานิยม ลดการแทรกแซงราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะ
โครงการรับจำนำข้าว ซึ่งจะช่วยลดปัญหาหนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
และช่วยให้มีความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายการคลังมากขึ้น |
อันดับ 2 เน้นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในโครงการต่างๆ รวมถึงโครงการที่มีความเกี่ยวเนื่อง
กับ AEC มีการเบิกจ่ายเงินที่เป็นไปตาม พรก.บริหารจัดการน้ำ มีการพัฒนาการศึกษา
สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ |
อันดับ 3 มีการดำเนินนโยบายการเงินการคลังที่สอดประสานกัน โดยเห็นว่าควรดำเนินนโยบาย
การเงินที่ผ่อนคลายและดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัว ควรมีมาตรการควบคุม
ฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงควรมีแผนสำรองเพื่อรองรับวิกฤติ (shock)
ที่อาจจะเกิดขึ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก |
อันดับ 4 ควรมีการดูแลภาคส่งออกเป็นพิเศษเนื่องจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก
พร้อมๆ กับการให้ความสำคัญกับตลาดในประเทศด้วยการกระตุ้นอุปสงค์ เพิ่มการ
กระจายรายได้ให้เป็นธรรมขึ้น รวมถึงการเตรียมแผนรองรับปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น
ในปีหน้า เช่น ปัญหาจากการเพิ่มค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ ปัญหาเงินเฟ้อ เป็นต้น |
อันดับ 5 มีการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของภาครัฐที่เข้มงวด เพื่อลดปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น |
อันดับ 6 สร้างระบบเตือนภัยธรรมชาติ มีการให้ข้อมูลจริงโดยเฉพาะจากหน่วยงานภาครัฐ
ให้ความสำคัญกับการจ้างงานและราคาสินค้ามากกว่าการให้ความสำคัญกับการขยายตัว
ทางเศรษฐกิจ |
|
|
|
** หมายเหตุ: รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้ เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของ
นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใด |
|
|